เจาะลึกตลาดฟอเร็กซ์: จากพื้นฐานสู่กลยุทธ์เชิงลึก

ฟอเร็กซ์
4 สิงหาคม 2025
Forex2 Insights

ยินดีต้อนรับสู่ระดับถัดไป 

คุณเข้าใจพื้นฐานแล้ว ทั้ง pip, คู่สกุลเงิน, ขนาดล็อต, ชั่วโมงการเทรด ได้เวลาเปลี่ยนความรู้ให้เป็นการลงมือทำจริง 

ในคู่มือนี้ เราจะสอนให้คุณอ่านตลาดฟอเร็กซ์อย่างมีชั้นเชิง นั่นหมายถึงคุณจะได้เรียนรู้วิธีวางรากฐานของกลยุทธ์การเทรดฟอเร็กซ์ โดยผสมผสานการวิเคราะห์พื้นฐาน เทคนิค และสภาวะอารมณ์ของตลาด เพื่อสร้างข้อได้เปรียบให้ตัวเอง 

นี่คือจุดเปลี่ยนจากการเป็นนักเทรดที่แค่ตามตลาด มาเป็นคนที่เข้าใจตลาดจริงๆ 

มาเริ่มแยกแยะกันทีละส่วนเลย 

สารบัญ 

  1. รู้จักปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดฟอเร็กซ์ 

  1. ทำความเข้าใจกับปฏิทินเศรษฐกิจ 

  1. เชื่อมโยงปัจจัยพื้นฐานกับความแข็งแกร่งของสกุลเงิน 

  1. การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ปล่อยให้กราฟเล่าเรื่อง 

  1. รวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน: จุดแข็งที่แท้จริง 

  1. จับตาความสัมพันธ์ของราคา 

  1. เครื่องมือที่ช่วยให้คุณนำหน้า 

  1. กลยุทธ์สำหรับมือใหม่: การเทรดย่อตัวหลังข่าว 

  1. จากการตอบสนองสู่การคาดการณ์ล่วงหน้า 

  1. สรุปสาระสำคัญ 

 

 

รู้จักปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดฟอเร็กซ์ 

ก่อนที่คุณจะดูกราฟ ลองถามตัวเองว่า: เบื้องหลังของคู่สกุลเงินที่ฉันกำลังเทรดคืออะไร 

การเข้าใจว่าราคาสกุลเงินเคลื่อนไหวจากอะไรจริงๆ นั้นสำคัญมาก ตลาดฟอเร็กซ์ไม่ได้เคลื่อนไหวแบบสุ่ม แต่มันตอบสนองต่อการผสมผสานของปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และจิตวิทยา 

ต่อไปนี้คือ 4 ปัจจัยหลักที่ควรจับตา: 

  1. อัตราดอกเบี้ย - ปัจจัยใหญ่ เมื่อธนาคารกลางปรับขึ้นดอกเบี้ย สกุลเงินของประเทศนั้นมักจะแข็งค่าขึ้น และเมื่อมีการลดดอกเบี้ย สกุลเงินก็มักจะอ่อนค่าลง 

  1. ข้อมูลเศรษฐกิจ - เช่น GDP การว่างงาน เงินเฟ้อ และยอดขายปลีก สิ่งเหล่านี้เล่าเรื่องราวของเศรษฐกิจประเทศหนึ่ง และมีผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางรวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน 

  1. นโยบายของธนาคารกลาง - ไม่ใช่แค่สิ่งที่พวกเขาทำ แต่รวมถึงสิ่งที่พวกเขาพูดด้วย การส่งสัญญาณล่วงหน้ามีความสำคัญ หากน้ำเสียงออกไปในเชิง "เข้มงวด" แปลว่าสกุลเงินจะแข็งค่า แต่ถ้าน้ำเสียง "ผ่อนคลาย" ก็อาจเป็นสัญญาณของความอ่อนแอ 

  1. ภูมิรัฐศาสตร์และความเชื่อมั่นด้านความเสี่ยง - ความตึงเครียดทางการเมือง การเลือกตั้ง หรือวิกฤตการณ์ต่างๆ สามารถสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ ส่งผลต่อความต้องการเสี่ยง และทำให้กระแสเงินทุนเคลื่อนไหวเข้าออกสกุลเงินบางประเทศ 

เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่าปัจจัยหลักใดที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงิน ต่อไปเราจะดูวิธีการวางแผนการเทรดโดยใช้หนึ่งในเครื่องมือทรงพลังที่สุด: ปฏิทินเศรษฐกิจ 

ทำความเข้าใจกับปฏิทินเศรษฐกิจ 

นักเทรดฟอเร็กซ์ทุกคนควรใช้ปฏิทินเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือหลักในการเทรด 

ปฏิทินนี้คือแผนที่นำทางของเหตุการณ์ข่าวสำคัญต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบสูงต่อราคา เช่น การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจ การประชุมของธนาคารกลาง คำแถลงการณ์ และอื่นๆ 

แทนที่จะเดาสุ่ม ให้ใช้ปฏิทินนี้เพื่อคาดการณ์ความผันผวนและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ 

วิธีการใช้งาน 

  • กรองตามความสำคัญ: ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่มีผลกระทบสูง เช่น ตัวเลข NFP, CPI และการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย (มักแสดงเป็นสีแดงในหลายแพลตฟอร์ม) 

  • รู้ตัวเลขคาดการณ์ล่วงหน้า: ตลาดมักเคลื่อนไหวล่วงหน้าก่อนข้อมูลจะถูกประกาศ โดยยึดตามคาดการณ์ 

  • เปรียบเทียบกับผลลัพธ์จริง: ถ้าข้อมูลจริงออกมาดีกว่าหรือแย่กว่าที่คาดไว้มาก อาจทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่รุนแรง 

ตัวอย่าง 

ถ้าตัวเลขคาดการณ์ของ NFP คือ +200,000 แต่ผลจริงออกมาที่ +350,000 สิ่งนี้อาจกระตุ้นให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างรุนแรง เพราะบ่งชี้ถึงตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต 

เช็กปฏิทินเศรษฐกิจทุกวัน ทำให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรก่อนเริ่มเทรดของคุณ 

ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าต้องติดตามเหตุการณ์สำคัญอย่างไร ต่อไปเราจะพูดถึงว่าข่าวเหล่านี้แปลออกมาเป็น "ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของสกุลเงิน" ได้อย่างไร 

 

เชื่อมโยงปัจจัยพื้นฐานกับความแข็งแกร่งของสกุลเงิน 

การเข้าใจหลักเศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเข้าใจว่า ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อราคาค่าเงินอย่างไร 

ตรงนี้แหละที่มือใหม่จำนวนมากมักจะติดขัด ลองมาดูกันแบบง่ายๆ: 

สถานการณ์ 

ผลกระทบต่อค่าเงิน 

เงินเฟ้อสูงขึ้น 

มักนำไปสู่การขึ้นดอกเบี้ย → ค่าเงินแข็งแกร่งขึ้น 

อัตราว่างงานลดลง 

แรงงานแข็งแกร่ง = มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย → ค่าเงินแข็งแกร่งขึ้น 

การเติบโตของ GDP อ่อนแอ  

สะท้อนเศรษฐกิจชะลอตัว → ค่าเงินอ่อนแอลง 

ธนาคารกลางส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย 

ผลตอบแทนต่ำลง = เงินทุนไหลออก → ค่าเงินอ่อนแอลง 

เมื่อปัจจัยพื้นฐานสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของราคา จะยิ่งเพิ่มความมั่นใจในทิศทางการเทรดของคุณ 

เมื่อเข้าใจปัจจัยพื้นฐานดีแล้ว ก็ถึงเวลานำอีกครึ่งหนึ่งของสมการเข้ามา นั่นก็คือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค เพราะตรงนี้แหละที่ “จังหวะเวลา” และ “บริบท” มาเจอกัน 

 

การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ปล่อยให้กราฟเล่าเรื่อง 

แม้ว่าการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะบอกคุณว่า “ทำไม” ตลาดถึงเคลื่อนไหว แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะบอกคุณว่า “เมื่อไหร่” ควรเข้าออกตลาด 

ในส่วนนี้ เราจะทำให้การอ่านกราฟเข้าใจง่ายขึ้น เพื่อให้คุณมองเห็นโอกาสโดยไม่หลงทางกับตัวชี้วัดต่างๆ 

เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ควรใช้: 

  • แนวรับและแนวต้าน: มองหาบริเวณสำคัญในอดีตที่ราคามักจะกลับตัว 

Screenshot 2568 07 16 At 20.07.35
  • เส้นแนวโน้ม: ระบุทิศทางของตลาดโดยเชื่อมจุดสูงสุดและต่ำสุดของราคา 

Screenshot 2568 07 16 At 20.07.46
  • ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่: ใช้เส้น MA 50 วัน หรือ 200 วัน เพื่อช่วยมองภาพรวมของแนวโน้ม 

Screenshot 2568 07 16 At 20.08.03
  • รูปแบบกราฟ: รูปสามเหลี่ยม ธง หรือ head-and-shoulders มักส่งสัญญาณการเบรกแนวต้าน หรือการกลับทิศของตลาด 

Screenshot 2568 07 16 At 20.08.19

เคล็ดลับ: ยิ่งกราฟสะอาดเท่าไหร่ สัญญาณก็ยิ่งแม่นยำ อย่าใส่ตัวชี้วัดเยอะเกินไป 

"กราฟแสดงการเคลื่อนไหว ข่าวอธิบายเหตุผลว่าทำไม"

เมื่อทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคเริ่มสอดคล้องกัน จุดนั้นเองคือจุดเริ่มต้นของการวางกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ลองมาดูกันว่าเราจะผสมผสานทั้งสองด้านเข้าด้วยกันอย่างไรเพื่อสร้างความได้เปรียบในการเทรด 

 

รวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน: จุดแข็งที่แท้จริง 

การเทรดในตลาดฟอเร็กซ์ไม่ใช่การเลือกฝั่งระหว่างปัจจัยพื้นฐานหรือการวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่คือการผสมผสานทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน 

กรณีตัวอย่าง A: การเบรกแนวจากข่าว 

ลองจินตนาการว่าเฟดของสหรัฐส่งสัญญาณเข้มงวด บอกใบ้ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไปอีกระยะสิ่งนี้จุดประกายความต้องการในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ผลักดันคู่ USD/JPY ขึ้นไปแตะระดับแนวต้านสำคัญที่ 150 ราคาทะลุแนวต้านนี้ด้วยแรงส่งที่แข็งแกร่ง ยืนยันการตอบสนองของตลาดในช่วงแรกจากนั้นราคาอาจกลับมาทดสอบโซนเบรกเอาต์อีกครั้งเทรดเดอร์ที่รอจังหวะต่อเนื่องอาจรอให้ราคายืนเหนือแนวต้านนี้ ก่อนพิจารณาขึ้นขาใหม่ของเทรนด์ 

กรณีตัวอย่าง B: คู่เงินพุ่งเกินจริง + ข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ 

ในทางตรงกันข้าม สมมุติว่า EUR/USD อยู่ในช่วงขาขึ้นที่แข็งแกร่ง และเข้าสู่เขตที่ราคาสูงเกินไปในเวลาเดียวกัน อินดิเคเตอร์โมเมนตัมอย่าง RSI เริ่มแสดงสัญญาณสวนทาง ซึ่งอาจบอกใบ้ถึงความอ่อนแอที่กำลังจะมาจากนั้นข้อมูล GDP ของเยอรมนีออกมาแย่กว่าที่คาดไว้ความผิดหวังด้านปัจจัยพื้นฐานนี้ เมื่อรวมกับสัญญาณหมดแรงจากกราฟอาจนำไปสู่การกลับตัวของราคาเสนอให้เทรดเดอร์พิจารณาตั้งสถานะขายระยะสั้นที่อ้างอิงจากบริบททางเศรษฐกิจและการยืนยันจากกราฟ 

นี่แหละคือจุดที่ทักษะเริ่มพัฒนา ไม่ใช่การเดา แต่คือการผสานบริบทมหภาคกับพฤติกรรมของกราฟ 

"เทรดเดอร์ที่มองแค่กราฟจะพลาดภาพใหญ่ เทรดเดอร์ที่ดูแต่ข่าวจะพลาดจังหวะ"

เมื่อคุณมองตลาดได้เฉียบคมมากขึ้น คุณจะสังเกตได้ว่าสกุลเงินต่างๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างโดดเดี่ยว ต่อไป มาดูกันว่าเครื่องมือและตลาดอื่นๆ มีผลกระทบกับคู่เงินอย่างไร 

จับตาความสัมพันธ์ของราคา 

คู่เงินฟอเร็กซ์ไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างโดดเดี่ยว หลายคู่มีความสัมพันธ์กับตลาดและเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ การเข้าใจความสัมพันธ์เหล่านี้จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมและเชื่อมโยงข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น 

ตัวอย่างเช่น: 

  • USD/JPY เคลื่อนไหวสอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี 
    เมื่ออัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ดอลลาร์มักแข็งค่าตาม และผลักดันให้คู่เงินนี้สูงขึ้น 

  • AUD/USD มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราคาทองคำ เนื่องจากออสเตรเลียเป็นผู้ส่งออกทองรายใหญ่ 
    เมื่อราคาทองปรับตัวขึ้น ดอลลาร์ออสเตรเลียก็มักจะปรับขึ้นตามด้วย 

  • EUR/USD มักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) 
    เนื่องจากเงินยูโรคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ (57.6%) ของดัชนีนี้ 

การเข้าใจความสัมพันธ์เหล่านี้สามารถช่วยให้เทรดเดอร์หลีกเลี่ยงการเปิดออร์เดอร์ที่ขัดกัน และยังช่วยยืนยันจุดเข้าออกที่มีศักยภาพได้อีกด้วย 

ในช่วงที่ตลาดมีบรรยากาศของการยอมรับความเสี่ยง (risk-on) ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้น และความเชื่อมั่นของนักลงทุนอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้สกุลเงินอย่างดอลลาร์ออสเตรเลีย ดอลลาร์นิวซีแลนด์ และดอลลาร์แคนาดามักจะแข็งค่า ในทางกลับกัน ช่วงที่ตลาดมีความกลัวหรือไม่แน่นอน (risk-off) สกุลเงินปลอดภัยอย่างเงินเยนของญี่ปุ่นและฟรังก์สวิสมักจะดึงดูดเงินทุนไหลเข้า และแข็งค่าขึ้นตาม 

การรู้ว่าจะมองดูอะไรเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเตรียมความพร้อมไว้รับมือกับมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในหัวข้อต่อไป เราจะมาเจาะลึกเครื่องมือต่างๆ ที่ช่วยให้เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จมีความพร้อมอยู่เสมอ 

 

เครื่องมือที่ช่วยให้คุณนำหน้า 

การเทรดอย่างประสบความสำเร็จต้องมากกว่าแค่การดูกราฟ มันต้องอาศัยการเตรียมตัว ความตระหนักรู้ และโครงสร้างที่ชัดเจน 

เครื่องมือฟอเร็กซ์ที่คุณควรมีติดตัว: 

  • ปฏิทินเศรษฐกิจ - วางแผนล่วงหน้าสำหรับเหตุการณ์สำคัญที่อาจเขย่าตลาด 

  • ฟีดข่าว - ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์จากแพลตฟอร์มอย่าง TradingView หรืออัปเดตตลาดจาก D Prime 

  • กราฟ MT4/MT5 - อินเทอร์เฟซที่ดูสะอาดตาพร้อมอินดิเคเตอร์ที่ปรับแต่งได้ 

  • เครื่องมือวัดความเชื่อมั่น - รายงาน COT, ตำแหน่งของนักลงทุนรายย่อย, ดัชนีความกลัวและความโลภ 

  • บันทึกการเทรด - ติดตามออร์เดอร์ ความคิดเบื้องหลัง และสภาวะอารมณ์ของคุณ 

"ความสม่ำเสมอมาจากกระบวนการ และกระบวนการเริ่มจากการเตรียมพร้อม"

เราได้พูดถึงองค์ประกอบสำคัญต่างๆ ไปแล้ว ต่อไปคือกลยุทธ์แบบง่ายที่เหมาะกับมือใหม่ ซึ่งจะรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน 

กลยุทธ์สำหรับมือใหม่: การเทรดย่อตัวหลังข่าว 

เพื่อสรุปสิ่งที่เราเรียนรู้มา นี่คือกลยุทธ์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ซึ่งรวมทุกองค์ประกอบที่ได้พูดถึงไว้ก่อนหน้านี้ 

การตั้งค่ากลยุทธ์: 

กลยุทธ์นี้เริ่มต้นจากการจับตาข่าวที่ส่งผลกระทบรุนแรง เช่น CPI หรือการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls) ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างความผันผวนอย่างมาก เมื่อข่าวถูกประกาศ ราคามักจะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แทนที่จะรีบกระโดดเข้าเทรดทันที เทรดเดอร์จะรอดูการย่อตัวของราคาไปยังโซนโครงสร้างเดิม ไม่ว่าจะเป็นแนวรับหรือแนวต้าน 

ขั้นตอนถัดไปคือการหาสัญญาณยืนยันจากการเคลื่อนไหวของราคา แพทเทิร์นอย่างแท่งเทียน Pin Bar หรือแท่งเทียน Engulfing ที่เกิดขึ้นบริเวณระดับโครงสร้างนั้น อาจบ่งชี้ได้ว่าราคาเตรียมจะเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางเดิม ในขั้นตอนนี้ เทรดเดอร์มักจะตั้ง Stop-Loss ไว้นอกเหนือระดับโครงสร้างเล็กน้อย พร้อมตั้งเป้าหมายกำไรโดยพิจารณาอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยทั่วไปคือ 1:2 หรือมากกว่า 

ตัวอย่าง: 

ลองจินตนาการว่า ตัวเลข CPI ของสหรัฐออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่ารวดเร็ว และคู่ EUR/USD ร่วงลงกว่า 100 จุด แทนที่จะรีบเข้าเทรดทันที เทรดเดอร์จะรอให้ราคาดีดกลับมายังแนวรับเดิม จากนั้นหากเกิดแท่งเทียน Engulfing แบบขาลง ก็เป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาลงอาจดำเนินต่อ เทรดเดอร์จึงเปิดออร์เดอร์ Short โดยตั้ง Stop-Loss แคบ และตั้งเป้ากำไรไว้อย่างชัดเจน บนพื้นฐานของการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ 

กลยุทธ์ฟอเร็กซ์นี้แสดงให้เห็นว่า การใช้บริบททางเศรษฐกิจร่วมกับโครงสร้างกราฟสามารถสร้างเซตอัปที่มีคุณภาพสูงได้อย่างไร 

ตอนนี้คุณก็ได้เห็นแล้วว่า มืออาชีพใช้บริบทในการคาดการณ์ ไม่ใช่แค่การตอบสนองแบบทันที มาเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของบทเรียนกัน ว่าจะปรับมุมมองอย่างไรให้คิดแบบนักเทรดที่วางแผนล่วงหน้า 

จากการตอบสนองสู่การคาดการณ์ล่วงหน้า 

เทรดเดอร์มือใหม่ส่วนใหญ่มักตอบสนองแบบฉับพลัน พวกเขาไล่ราคา พวกเขาเทรดมากเกินไป ส่วนมืออาชีพทำตรงกันข้าม พวกเขาคาดการณ์ล่วงหน้า 

พวกเขามองที่ข้อมูล พวกเขารู้โครงเรื่องของนโยบาย พวกเขารอให้มีสัญญาณยืนยัน 

การอ่านตลาดฟอเร็กซ์ไม่ใช่เรื่องของการทำนายล่วงหน้า แต่เป็นเรื่องของการเตรียมตัว การมองเห็นรูปแบบ และการลงมือเทรด 

ฝึกเชื่อมโยงจุดต่างๆ เข้าด้วยกัน: 

  • เงินเฟ้อสูงขึ้น → คาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย → สกุลเงินอาจแข็งค่า 

  • คู่เงินที่อยู่ในโซนซื้อมากเกินไป + คาดการณ์ข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ → มีโอกาสเกิดแรงขายทำกำไร 

"การอ่านตลาดไม่ใช่เรื่องของเวทมนตร์ 
แต่มันคือการรู้จักรูปแบบ + ใช้สามัญสำนึก"

สรุปสาระสำคัญ 

การเทรดในตลาดฟอเร็กซ์ไม่ใช่การทำนายอนาคต แต่คือการนำเบาะแสต่างๆ มาประกอบเข้าด้วยกัน เช่น ข่าว การเคลื่อนไหวของราคา ความเชื่อมั่นของตลาด และการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล 

นี่คือสะพานเชื่อมระหว่างมือใหม่กับนักวางกลยุทธ์ 

ใช้เวลาในการเรียนรู้ ฝึกฝนการอ่านตลาด และหมกมุ่นกับบริบท 

เพราะเมื่อคุณอ่านตลาดได้ดี การเข้าออเดอร์ก็แทบจะเขียนตัวมันเอง [MM1] 

 

หัวข้อถัดไป: กลยุทธ์การเทรดและการบริหารความเสี่ยง ที่จะเปลี่ยนการวิเคราะห์ให้กลายเป็นการลงมือปฏิบัติ 

เทรดอย่างมั่นใจด้วย D Prime แพลตฟอร์มคู่ใจของคุณที่มาพร้อมสเปรดแคบ สภาพคล่องสูง และเครื่องมือการเทรดทรงพลัง 

 

คำชี้แจง 

 

ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุน ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอซื้อขาย หรือคำเชิญชวนให้ทำธุรกรรมทางการเงินใดๆ ทั้งสิ้น ข้อมูลนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์ในการลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้อ่านแต่ละคนหรือความต้องการเฉพาะ และไม่ควรถูกมองว่าเป็นคำแนะนำเฉพาะบุคคลข้อมูลผลการดำเนินงานในอดีตไม่ใช่ตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของข้อมูลที่นำเสนอ และไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือการขาดทุนใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลนี้หรือการตัดสินใจลงทุนที่อิงจากข้อมูลนี้ 

โปรดอย่าใช้เนื้อหาข้างต้นแทนการตัดสินใจโดยอิสระของคุณเอง ควรพิจารณาความเหมาะสมของข้อมูลนี้กับสถานการณ์ส่วนบุคคลของคุณก่อนตัดสินใจลงทุน ตลาดมีความเสี่ยง และการลงทุนควรทำด้วยความระมัดระวัง