ทำความเข้าใจการเทรดหุ้น: คู่มือสำหรับผู้เริ่มต้น

หุ้น
10 กรกฎาคม 2025
Stocks Basic

การเริ่มต้นเทรดหุ้น: คู่มือสำหรับมือใหม่ 

การซื้อขายหุ้นของบริษัทอาจดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายบนผิวเผิน แต่เบื้องลึกนั้นคือโลกที่เต็มไปด้วยแนวโน้ม กำไร ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา 

การเทรดหุ้นไม่ใช่เรื่องของมือโปรจากวอลล์สตรีทเท่านั้น ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ในยุคนี้ ด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์และแอปมือถือ แต่ก่อนจะเริ่มต้น สิ่งสำคัญคือการเข้าใจระบบว่าทำงานอย่างไร อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนราคา และจะบริหารความเสี่ยงอย่างไรให้ฉลาด 

คู่มือสำหรับผู้เริ่มต้นนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของการเทรดหุ้นอย่างชัดเจนและมั่นใจ 

 

สารบัญ 

  1. การเทรดหุ้นคืออะไร 

  1. ทำไมถึงควรเทรดหุ้น 

  1. ราคาหุ้นเคลื่อนไหวได้อย่างไร 

  1. ประเภทของนักเทรดหุ้น 

  1. คำศัพท์สำคัญในตลาดหุ้น 

  1. วิธีเริ่มต้นเทรดหุ้น 

  1. การวิเคราะห์พื้นฐานเทียบกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค 

  1. ควรเทรดหุ้นเมื่อไร 

  1. ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและควรหลีกเลี่ยง 

  1. สรุปประเด็นสำคัญ 

  1. คำชี้แจง 

 

การเทรดหุ้นคืออะไร 

การเทรดหุ้นคือการซื้อขายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แบบสาธารณะ เมื่อคุณซื้อหุ้นสักตัว เท่ากับว่าคุณได้เป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของธุรกิจนั้น ไม่ว่าจะเป็น Apple, Tesla หรือบริษัทเล็กๆ ที่คนยังไม่ค่อยรู้จัก 

โดยทั่วไปแล้ว การเทรดหุ้นมีอยู่ 2 แนวทางหลัก: 

  • การลงทุน: ถือหุ้นในระยะยาวโดยอิงจากมูลค่าของบริษัท 

  • การเทรด: ซื้อขายในระยะสั้นโดยอิงจากการเคลื่อนไหวของราคา 

คุณสามารถเทรดหุ้นโดยตรงผ่านตลาดหลักทรัพย์ (เช่น NYSE หรือ Nasdaq) หรือเทรดผ่านสัญญา CFD (Contracts for Difference) ซึ่งเปิดโอกาสให้คุณเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาโดยไม่ต้องถือครองหุ้นจริง วิธีนี้เหมาะกับกลยุทธ์ระยะสั้น 

ตอนนี้เรารู้แล้วว่าการเทรดคืออะไร มาดูกันว่าทำไมคนจำนวนมากถึงเลือกเทรดหุ้นแทนสินทรัพย์อื่นๆ 

 

ทำไมถึงควรเทรดหุ้น 

หุ้นเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่เข้าถึงง่ายและมีสภาพคล่องสูงที่สุด นี่คือเหตุผลที่นักเทรดและนักลงทุนชื่นชอบการเทรดหุ้น: 

  • สภาพคล่อง: หุ้นขนาดใหญ่มีส่วนต่างราคาซื้อขายแคบและปริมาณซื้อขายสูง 

  • ความโปร่งใส: รายงานผลประกอบการ ข่าว และข้อมูลต่างๆ ของบริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ 

  • ความผันผวน: การเคลื่อนไหวของราคาสร้างโอกาสในการทำกำไร ทั้งขาขึ้นและขาลง 

  • การกระจายความเสี่ยง: คุณสามารถเทรดหุ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี สุขภาพ การเงิน และอื่นๆ 

  • การเข้าถึง: ด้วยแพลตฟอร์มอย่าง D Prime คุณสามารถเทรดหุ้นทั่วโลกผ่าน CFD ได้ 

หุ้นไม่ใช่แค่ตัวเลข พวกมันสะท้อนถึงธุรกิจ แนวคิด และมุมมองของตลาด 

ต่อไปเราจะเจาะลึกกันว่า อะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นให้เปลี่ยนแปลง 

 

ราคาหุ้นเคลื่อนไหวได้อย่างไร 

ก่อนที่คุณจะเริ่มเทรดหุ้นได้อย่างมั่นใจ คุณต้องเข้าใจก่อนว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นหรือลง ราคาหุ้นไม่ได้เคลื่อนไหวแบบสุ่ม แต่เกิดจากแรงกดดันของตลาด ข่าว และความคาดหวังของนักลงทุน 

การเคลื่อนไหวเหล่านี้สุดท้ายแล้วล้วนเกิดจากอุปสงค์และอุปทานในตลาด ซึ่งมักถูกกระตุ้นจากปัจจัยต่อไปนี้: 

  • รายงานผลประกอบการ: ถ้าผลออกมาดีกว่าหรือแย่กว่าที่คาดไว้ ราคาก็จะตอบสนองทันที 

  • ข่าวเศรษฐกิจ: เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และ GDP ล้วนมีผลต่อบรรยากาศในตลาดโดยรวม 

  • ข่าวสารของบริษัท: สินค้าใหม่ เรื่องอื้อฉาว หรือการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารก็ล้วนมีผล 

  • แนวโน้มตลาดโดยรวม: เทคโนโลยีกำลังมาแรง? กลุ่มธนาคารโดนเทขาย? กลุ่มอุตสาหกรรมมีผลต่อราคาด้วย 

  • มุมมองของนักลงทุน: ความกลัว ความโลภ และโมเมนตัม ต่างมีบทบาทในการขับเคลื่อนราคา 

การเข้าใจว่าอะไรคือแรงผลักดันของการเคลื่อนไหวราคา คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณจับจังหวะเทรดได้แม่นยำยิ่งขึ้น 

แล้วนักเทรดประเภทต่างๆ มองตลาดแตกต่างกันอย่างไร? ไปดูกันต่อในหัวข้อถัดไป 

 

ประเภทของนักเทรดหุ้น 

ไม่ใช่ทุกคนที่เทรดหุ้นในแบบเดียวกัน บางคนชอบจังหวะที่รวดเร็วเน้นการเข้าทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บางคนเลือกวิธีที่ค่อยเป็นค่อยไปและเป็นระบบมากกว่า รูปแบบที่คุณเลือกจึงขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ความสามารถในการรับความเสี่ยง และเวลาที่คุณสามารถทุ่มเทให้กับการเทรด 

ประเภทหลักของนักเทรดหุ้นมีดังนี้: 

  • เดย์เทรดเดอร์: ซื้อขายภายในวันเดียว ทำกำไรจากจังหวะเข้าออกอย่างรวดเร็วและบ่อยครั้ง 

  • สวิงเทรดเดอร์: ถือครองสถานะนานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ เพื่อเก็บกำไรจากเทรนด์ระดับกลาง 

  • โพสิชันเทรดเดอร์: เน้นถือยาว มองภาพรวมของเทรนด์ใหญ่หรือวัฏจักรในตลาด 

  • สแคปเปอร์: ทำการเทรดจำนวนมากในหนึ่งวัน เพื่อเก็บกำไรจากการเคลื่อนไหวเล็กๆ 

สำหรับมือใหม่ สวิงเทรดมักเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะให้ความยืดหยุ่นและมีเวลาให้เรียนรู้มากกว่า 

ก่อนที่คุณจะเริ่มเทรดครั้งแรก มารู้จักคำศัพท์สำคัญในตลาดหุ้นกันก่อนดีกว่า 

 

คำศัพท์สำคัญในตลาดหุ้น 

ทุกตลาดมีภาษาของตัวเอง และการเทรดหุ้นก็เช่นกัน การเรียนรู้คำศัพท์พื้นฐานเหล่านี้จะช่วยให้คุณใช้งานแพลตฟอร์มการเทรดได้คล่องขึ้น และเข้าใจบทวิเคราะห์ของตลาดได้ดียิ่งขึ้น 

ต่อไปนี้คือคำศัพท์สำคัญที่นักเทรดทุกคนควรรู้: 

  • สัญลักษณ์หุ้น: ตัวย่อของชื่อบริษัท เช่น AAPL ของ Apple 

  • ปริมาณการซื้อขาย: จำนวนหุ้นที่มีการซื้อขาย 

  • ราคาซื้อ/ขาย: ราคาซื้อ (bid) และราคาขาย (ask) 

  • ส่วนต่างราคา: ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาขาย ยิ่งแคบยิ่งดี 

  • คำสั่งซื้อขายตามราคาตลาด: ซื้อหรือขายทันทีที่ราคาปัจจุบัน 

  • คำสั่งจำกัดราคา: ซื้อหรือขายเฉพาะเมื่อถึงราคาที่กำหนดไว้หรือดีกว่า 

  • คำสั่งหยุดขาดทุน: เครื่องมือจำกัดความเสียหายหากราคาวิ่งสวนทาง 

คำศัพท์เหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการเทรด มาดูกันต่อว่าคุณจะเริ่มต้นเทรดได้อย่างไรบ้าง 

 

วิธีเริ่มต้นเทรดหุ้น 

พร้อมก้าวเข้าสู่โลกของการเทรดหุ้นแล้วหรือยัง? คุณไม่จำเป็นต้องเป็นมือโปรจากวอลสตรีท เพราะในยุคนี้ ทุกคนสามารถเริ่มต้นเส้นทางการเทรดของตัวเองได้ง่ายกว่าที่เคย 

นี่คือขั้นตอนที่คุณต้องทำ: 

  1. เลือกแพลตฟอร์มเทรด: ใช้นายหน้าที่ได้รับการกำกับดูแล เช่น D Prime เพื่อการส่งคำสั่งที่รวดเร็วและเข้าถึงตลาดทั่วโลก 

  1. เปิดบัญชีทดลอง: ฝึกฝนโดยไม่ต้องเสี่ยงใช้เงินจริง 

  1. เลือกหุ้นที่ต้องการเทรด: เริ่มจากหุ้นชื่อดังที่มีสภาพคล่องสูง 

  1. ส่งคำสั่งเทรด: ใช้แพลตฟอร์มในการตั้งจุดเข้าซื้อ จุดหยุดขาดทุน และจุดทำกำไร 

  1. ติดตามและประเมินผล: สังเกตว่าอะไรเวิร์กและอะไรไม่เวิร์ก 

แม้จะอยู่ในยุคดิจิทัล ความสำเร็จในการเทรดก็ยังขึ้นอยู่กับวินัยและความอดทนเช่นเดิม 

ต่อไป มาดูกันว่าบรรดานักเทรดวิเคราะห์ตลาดกันอย่างไร 

 

การวิเคราะห์พื้นฐานเทียบกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค 

นักเทรดที่เก่งจะไม่เดาสุ่ม แต่จะวิเคราะห์ และเมื่อพูดถึงการวิเคราะห์หุ้น โดยทั่วไปจะมี 2 แนวทางหลัก ซึ่งในส่วนนี้จะแสดงให้เห็นความแตกต่างของแต่ละแนวทางเพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม 

มี 2 วิธีหลักในการประเมินหุ้น: 

  • การวิเคราะห์พื้นฐาน: เน้นวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินของบริษัท เช่น รายได้ อัตรากำไร หนี้สิน กำไรต่อหุ้น 

  • การวิเคราะห์ทางเทคนิค: เน้นดูกราฟราคา เช่น แนวรับ แนวต้าน เทรนด์ รูปแบบต่างๆ และอินดิเคเตอร์ 

ตัวอย่างเช่น: 

  • คุณอาจชอบหุ้น Apple เพราะยอดขาย iPhone แข็งแกร่ง (วิเคราะห์พื้นฐาน) 

  • หรืออาจซื้อหลังจากราคาทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (วิเคราะห์ทางเทคนิค) 

นักเทรดที่ประสบความสำเร็จมักใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน 

แต่อย่าลืมว่าการวิเคราะห์จะไม่มีความหมายเลย หากคุณเข้าเทรดผิดเวลา 

 

ควรเทรดหุ้นเมื่อไร 

ตลาดหุ้นไม่ได้เคลื่อนไหวตลอดเวลาอย่างสม่ำเสมอ การรู้ว่าเวลาไหนควรเข้าเทรดจะช่วยให้คุณได้ราคาที่ดีขึ้นและสเปรดที่แคบลง การจับจังหวะตลาดไม่ได้แปลว่าต้องทำนายอนาคตได้ แต่หมายถึงการเข้าเทรดในช่วงเวลาที่ตลาดคึกคักที่สุด 

โดยช่วงเวลาที่มักมีการเคลื่อนไหวมาก ได้แก่: 

  • ตลาดหุ้นสหรัฐเปิด (9:30 AM ET): ปริมาณซื้อขายสูง ราคาผันผวนมาก โดยเฉพาะหุ้นใน Nasdaq และ S&P 500 

  • ช่วงประกาศผลประกอบการ: ความผันผวนจะเพิ่มขึ้น 

  • การประกาศข่าว: เช่น การตัดสินใจของ Fed รายงานเงินเฟ้อ หรือข่าวสำคัญของบริษัท สามารถสร้างแรงขับเคลื่อนได้ 

นักเทรดบางคนอาจเลือกเทรดก่อนหรือหลังเวลาตลาดเปิด แต่ในช่วงนั้นสเปรดอาจกว้างขึ้น และความผันผวนอาจไม่แน่นอน 

ต่อไปมาดูกันว่าข้อผิดพลาดที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง เพื่อที่คุณจะได้หลีกเลี่ยงได้ทันเวลา 

 

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและควรหลีกเลี่ยง 

แม้แต่นักเทรดที่เก่งที่สุดก็ยังพลาดได้ สิ่งสำคัญคือการหลีกเลี่ยงกับดักที่ทำให้ขาดทุนได้ง่าย ในส่วนนี้เราจะพูดถึงข้อผิดพลาดที่นักเทรดมือใหม่มักทำ และวิธีป้องกันไม่ให้คุณตกหลุมพรางเดียวกัน 

แม้แต่นักเทรดที่มีประสบการณ์ก็ยังพลาดได้ ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยมีดังนี้: 

  • เทรดโดยไม่มีแผน: ควรรู้จุดเข้า จุดหยุดขาดทุน และเป้าหมายกำไรให้ชัดเจน 

  • ไล่ตามข่าว: ราคามักเคลื่อนไหวล่วงหน้าก่อนข่าวจะถูกเผยแพร่ 

  • เทรดมากเกินไป: คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ 

  • มองข้ามการบริหารความเสี่ยง: ไม่มีดีลไหนควรทำให้พอร์ตคุณพัง 

  • ปล่อยให้อารมณ์นำการตัดสินใจ: การเทรดคือธุรกิจ ไม่ใช่คาสิโน 

ยิ่งคุณเรียนรู้บทเรียนเหล่านี้ได้เร็วเท่าไร คุณก็จะพัฒนาฝีมือได้ไวขึ้นเท่านั้น 

 

สรุปประเด็นสำคัญ 

การเทรดหุ้นเป็นประตูสู่โลกการเงิน และเป็นวิธีที่ทรงพลังในการฝึกทักษะ สร้างวินัย และคว้าโอกาส 

เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ เรียนรู้พื้นฐาน ใช้บัญชีทดลอง เน้นความสม่ำเสมอมากกว่าความตื่นเต้น 

เมื่อคุณพร้อมก้าวไปอีกขั้น D Prime มีเครื่องมือ ข้อมูลเชิงลึก และการเข้าถึงตลาดทั่วโลกที่จะช่วยให้คุณเทรดได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น 

ถัดไป: ไกด์ระดับกลางจะสอนคุณอ่านจังหวะตลาด ปฏิกิริยาข่าว และสัญญาณจากกราฟเหมือนนักวิเคราะห์มืออาชีพ 

 

คำชี้แจง 

ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุน ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอซื้อขาย หรือคำเชิญชวนให้ทำธุรกรรมทางการเงินใดๆ ทั้งสิ้น ข้อมูลนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์ในการลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้อ่านแต่ละคนหรือความต้องการเฉพาะ และไม่ควรถูกมองว่าเป็นคำแนะนำเฉพาะบุคคลข้อมูลผลการดำเนินงานในอดีตไม่ใช่ตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของข้อมูลที่นำเสนอ และไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือการขาดทุนใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลนี้หรือการตัดสินใจลงทุนที่อิงจากข้อมูลนี้ 

โปรดอย่าใช้เนื้อหาข้างต้นแทนการตัดสินใจโดยอิสระของคุณเอง ควรพิจารณาความเหมาะสมของข้อมูลนี้กับสถานการณ์ส่วนบุคคลของคุณก่อนตัดสินใจลงทุน ตลาดมีความเสี่ยง และการลงทุนควรทำด้วยความระมัดระวัง 

@2025 D Prime สงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด